เจาะลึกรายละเอียดของ LCL เป็นหลัก
วิดิโอแอนนิเมชั่นนี้ มีความยาว 7.45 นาที
หัวข้อในบทความนี้ คือ ความแตกต่างระหว่าง FCL และ LCL แต่จะเจาะจงรายละเอียดของ LCL เป็นหลัก
LCL คือ การส่งสินค้าแบบแชร์ตู้ร่วมกับเจ้าอื่น จะแตกต่างกับ FCL คือการโหลดสินค้าแบบเต็มตู้คอนเทนเนอร์
LCL คือ การขนส่งแบบแชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะมีเจ้าของสินค้าหลายรายรวมกันมาในตู้คอนเทนเนอร์
ดังนั้น การคำนวณค่าขนส่งสินค้าระหว่าง LCL และ FCL จึงมีความแตกต่างกัน เราจะอธิบายการคำนวณจุดคุ้มทุมหรือ break-even point และการทำกำไรในปริมาณการขนส่งสินค้าสูงสุด
อันดับแรก LCL ย่อมาจาก “Less Than Container Loading”
คอนเทนเนอร์ที่กล่าวถึง คือ 20 foot container ขนาดของ 20 foot container มีความกว้างประมาณ 2.3 เมตร
ความยาว 6 เมตร และความสูง 2.3 เมตร
สำหรับ 20 foot container มีปริมาตรสูงสุดประมาณ 31 คิวบิกเมตร
ในการเลือกส่งสินค้าแต่ละครั้ง จะต้องคำนวณว่า จะเลือกส่งแบบเต็มตู้ หรือเลือกส่งแบบไม่เต็มตู้
ในกรณีที่ปริมาณสินค้า คือ 1 คิวบิกเมตร ขอแนะนำให้เลือกใช้แบบ LCL การพิจารณาว่าจะเลือกใช้การขนส่งแบบ LCL หรือ FCL นั้น
เราควรพิจารณาในหลายองค์ประกอบ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
การขนส่งแบบ LCL และ FCL มีความแตกต่างกัน แล้วการขนส่งแบบไหนที่จะเหมาะกับสินค้าของเรา เรามาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน
สำหรับการขนส่งสินค้าแบบ FCL จะคิดค่าใช้จ่ายต่อตู้คอนเทนเนอร์
แต่สำหรับ LCL จะคิดจากน้ำหนักหรือขนาดของสินค้า
สำหรับ Gross Weight และ Volume Weight ของสินค้า สามารถกดดูได้ในคลิปวิดีโอข้างล่างคลิปนี้ค่ะ
ในการคำนวณความแตกต่างระหว่าง FCL และ LCL มี 4 ข้อที่สำคัญ คือ
ค่าขนส่งสินค้า ocean freight, ค่าภาระภายในท่าเรือ THC, ค่าเข้าตู้ บรรจุตู้สินค้า CFS, และค่ารถบรรทุกสินค้า truck costs นอกจากนี้ เราจะต้องตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการโหลดสินค้าทั้งสองประเทศด้วย
สำหรับค่าเฟรทการส่งแบบ FCL ตู้ 20 ฟุต จะคิดค่าใช้จ่ายในราคา 1 ตู้ ส่วน LCL คิดค่าใช้จ่ายจากขนาดหรือน้ำหนักของสินค้า
โดยคิดค่าใช้จ่ายตามขนาด CBM (Cubic meter)
ต่อไปคือค่าใช้จ่ายที่สำคัญ คือ CFS การขนส่งสินค้าแบบ LCL จะมีค่าใช้จ่าย CFS เกิดขึ้น คือ ค่าเข้าตู้บรรจุตู้สินค้า
ค่า THC คือ ค่ายก/วาง/เคลี่ยนย้าย ตู้ภายในท่าเรือ ซึ่งจะถูกคิดทั้งแบบ FCL และ LCL
ต่อไปเราจะอธิบาย และยกตัวอย่างทีละขั้นตอน จะทำให้ผู้ชมเข้าใจง่ายขึ้น
ตัวอย่างคือ การขนส่งสินค้าแบบ FCL และ LCL ระหว่างกรุงเทพและโตเกียว
ค่าเฟรทและค่ารถบรรทุกสินค้า จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ forwarder แต่ละบริษัท
แต่สำหรับค่า THC and CFS คือค่าใช้จ่ายที่สายเรือจะเรียกเก็บ มีค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดังภาพ
การขนส่งแบบ FCL จะคิดค่าใช้จ่ายต่อ 1 ตู้ 20 ฟุต คอนเทนเนอร์
แต่สำหรับการส่งแบบ LCL ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะคิดตามขนาดหรือน้ำหนักของสินค้า
สามารถคำนวณค่าใช้จ่าย ได้ดังนี้
สมมุติขึ้นว่า 1 บาท เท่ากับ 3 เยน และ 1 ดอลล่า เท่ากับ 100 เยน
ในกรณีนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ คือ 120,800 เยน
ซึ่งจะไม่รวมกับค่าพิธีศุลกากรและค่าทำเอกสาร
สำหรับการส่งสินค้าแบบ LCL จะสมมุติว่า ขนาดของสินค้า คือ 15 CBM
เราจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นหน่วย CBM จากนั้นนำมาคูณ 15 ก็จะได้ค่าใช้จ่าย เท่ากับ 144,200 yen
เมื่อนำมาเปรียบเทียบแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายดังนี้
นี่คือค่าขนส่งสินค้าแบบ LCL ที่คิดจากขนาดสินค้า 15 CBM
หากขนาดของสินค้าเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
สำหรับการขนส่งสินค้าแบบ FCL ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่า ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ forwarder
ต่อไป คือปัญหาที่สามารถพบได้ ในกรณีที่เลือกใช้การขนส่งสินค้าแบบ LCL
ในฝั่งส่งออกสินค้า ค่าใช้จ่ายสำหรับ LCL จะถูกกว่าแบบ FCL
ในกรณีที่ผู้ส่งออกสินค้า เลือกใช้การขนส่งสินค้าแบบ LCL กับสินค้าที่มีขนาดใหญ่
จะมีค่าใช้จ่าย THC และ CFS ในฝั่งนำเข้าสินค้า
หากเลือกใช้เงื่อนไขการขนส่งสินค้าเทอม CFR หรือ CIF ผู้ส่งออกจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในฝั่งนำเข้าสินค้า กรณีสินค้ามีขนาดใหญ่แต่เลือกส่งแบบ LCL ก็จะมีปัญหาและมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในฝั่งนำเข้าสินค้า
ดังนั้น หากคุณคือผู้ส่งออก ที่ต้องการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่โดยใช้บริการแบบ LCL
จะต้องพิจาราณาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ปลายทางด้วย
การขนส่งแบบ LCL จะเหมาะกับสินค้าแบบที่ไม่เต็มตู้ 20 ฟุต หรือมีขนาดสินค้าและน้ำหนักเบา
การขนส่งสินค้าแบบ FCL และ LCL จะมีการพิจารณาค่าใช้จ่ายแตกต่างกัน
ในเรื่องค่าเฟรท ค่า THC , ค่า CFS และค่ารถขนส่งสินค้า